เรื่อง: การใช้สื่อภาษาในการฝึกสุนัข
 
 11295

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

My Name: ขายหมา ออฟไลน์
Administrator
เพศ: ชาย
  • ดูรายละเอียด
  • ดูรายละเอียด
  • ดูรายละเอียด
  • ดูรายละเอียด
30 ก.ค. 61, 09:10:43น.
การใช้สื่อภาษาในการฝึกสุนัข

สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล ประโยคนี้ยังไม่ล้าสมัยและสามารถใช้ได้มาจนทุกวันนี้ แม้จะมีใครบางคนที่ไม่สนใจ และพยายามสร้างภาพว่าตนเองนั้นเป็นถึงลูกเจ้าลูกนาย แต่ภาษาที่ใช้ยิ่งกว่าสถุลจนสังคมไม่สามารถรับได้ การฝึกสุนัขก็เช่นกันแม้ต่างเผ่าต่างพันธุ์แต่ก็มิได้หมายความว่าจะสื่อกันไม่เข้าใจ เนื่องจากมีสื่อภาษาที่สามารถสื่อถึงกันได้เป็นอย่างดี และสามารถเข้าใจยิ่งกว่าการใช้สื่อในการพูดจาภาษาเดียวกัน



สุนัขเป็นสัตว์ที่มีพรสวรรค์ในการรับรู้ และสามารถเข้าใจการแสดงออกของมนุษย์โดยดูจากการกระทำ และการแสดงออก สุนัขไม่สามารถเข้าใจภาษาที่มนุษย์ใช้พูดจา แต่สุนัขสามารถเข้าใจภาษากายที่มนุษย์แสดงออก นอกจากนั้นสุนัขยังเข้าใจถึงสำเนียงของภาษาได้แก่ความหนักเบาในการออกเสียงของคำพูดได้เป็นอย่างดี คนเราก็เข้าใจความสามารถของสุนัขในเรื่องนี้ จึงทำให้การฝึกสุนัขสามารถดำเนินไปได้แม้ไม่เข้าใจภาษาซึ่งกันและกัน

การออกเสียงในการฝึกสุนัขที่ได้ผลดีที่สุด ผู้ฝึกจำเป็นต้องเรียนรู้ในการใช้เสียงสูง เสียงต่ำ รู้จังหวะในการออกเสียงดังกล่าวให้เข้าจังหวะในการทำงานของสุนัข จิตวิทยาอย่างหนึ่งที่สุนัขเคยชินได้แก่การชมเชย สุนัขเป็นสัตว์ที่ชอบคำชมพอ ๆ กับอาหารที่มันกินอยู่ทุกวัน เรียกว่าสุนัขมันบ้ายอก็ไม่ผิด แต่ในขณะเดียวกันสุนัขก็รู้ว่าสิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควร เมื่อผู้ฝึกออกเสียงห้ามปราม การออกเสียงเพื่อเป็นสื่อให้สุนัขปฏิบัติตามเมื่อกำลังทำการฝึกนั้นเป็นเรื่องสำคัญ เพราะความสำเร็จในการฝึกสุนัขนั้นขึ้นอยู่กับการออกเสียงที่ว่านี้มากกว่า 50% ดังนั้นการเรียนรู้เรื่องการออกเสียงในการฝึกสุนัขจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง



เสียงสูง เสียงต่ำ เป็นเสียงที่สุนัขสามารถเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี ความสามารถตรงนี้เองที่ผู้ฝึกต้องเรียนรู้และนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ เสียงสูงเช่น ดี ดีมาก หรือในภาษาต่างประเทศ เช่น Good Good Dog หมายความถึงการกล่าวชมสุนัขว่าดี ขณะที่สุนัขนั้นสามารถปฏิบัติได้ตามคำสั่ง การลูบไล้เนื้อตัวสุนัขพร้อมกับการกล่าวชมดังกล่าวสุนัขจะเข้าใจได้เป็นอย่างดี ว่ามันทำถูกแล้ว และจะจดจำไว้ตลอดไป ผู้ฝึกจะต้องใช้เสียงสูง ออกเสียงอย่างนุ่มนวลไม่กระแทกกระทั้น เสียงต้องราบเรียบ และต้องใช้เสียงในระดับนี้ทุกครั้งที่กล่าวชมสุนัขเมื่อมันปฏิบัติได้ตามคำสั่ง

การใช้เสียงต่ำ เสียงระดับนี้ท่านต้องฝึกเพื่อให้เกิดความแตกต่างกับเสียงสูงที่กล่าวแล้วในย่อหน้าที่แล้ว การออกเสียงต่ำเป็นการออกเสียงในลำคอ และต้องเป็นเสียงที่หนักแน่น ระดับเสียงต้องต่ำเช่น อย่า ไม่ หรือภาษาต่างประเทศเช่น No หรือ Stop เป็นต้น เมื่อสุนัขได้ยินเสียงระดับนี้มันจะรู้ได้ทันที่ว่าผู้ฝึกต้องการอะไร และมันจะจำไว้เพื่อทำให้ถูกใจของผู้ฝึกตลอดไป 

ระดับเสียงทั้งสองที่กล่าวแล้วผู้ฝึกต้องฝึกออกเสียงให้เคยชิน และให้สุนัขของตนเองได้ยินด้วยให้ทำซ้ำ ๆ กันต่อหน้าสุนัขทั้งขณะฝึก และขณะที่พักการฝึก การนำสุนัขมากล่าวชม และลูบหน้าลูบหลังเป็นการแสดงออกถึงความรักความใกล้ชิดก็เป็นจิตวิทยาที่ผู้ฝึกสมควรทำอย่างยิ่ง เนื่องจากสุนัขเป็นสัตว์ที่ต้องการกำลังใจ และต้องการให้เจ้าของชมเชยเป็นอย่างมาก เรียกว่ามันเป็นสัตว์ที่บ้ายอที่สุดก็ว่าได้ คุณสมบัตินี้เองที่เจ้าของควรนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์

นอกจากจะใช้คำพูด และระดับเสียงในการฝึกสุนัขแล้ว การฝึกสุนัขยังสามารถใช้ภาษากายมาทำการฝึกได้อีกด้วย ภาษากายหรือภาษาใบ้ที่สามารถพบเห็นได้บ่อยในการฝึกสุนัขได้แก่ การทำมือแสดงท่าทางว่าห้ามปราม การสั่นหน้าไปมา อาการเหล่านี้ท่านจะต้องสื่อออกมาให้สุนัขของท่านเข้าใจและสามารถปฏิบัติตามได้เป็นอย่างดี การขวักมือเรียกให้สุนัขวิ่งมาหาก็เป็นอีกอาการที่สำคัญในการฝึกสุนัขด้วยเช่นกัน นอกจากนั้นการออกคำสั่งด้วยมือเพื่อให้สุนัขปฏิบัติอย่างอื่น เช่น ไป มา หยุด ไปทางซ้าย ไปทางขวา คอย หมอบและอื่น ๆ ล้วนเป็นคำสั่งด้วยมือที่ผู้ฝึกสามารถทำได้และสื่อให้สุนัขของตนเข้าใจได้ไม่ยาก สิ่งสำคัญได้แก่ต้องไม่ทำให้สุนัขสับสนเป็นอันขาด เพราะถ้าสุนัขสับสนเมื่อไร สุนัขจะเกิดความไม่มั่นใจและไม่สามารถทำตามคำสั่งได้ หรือผลงานอาจไม่เป็นไปตามที่ต้องการ



นอกจากภาษามือที่ผู้ฝึกสามารถนำมาใช้ในการฝึกสุนัขได้เป็นอย่างดีแล้ว สายตาหรือคำสั่งสุนัขด้วยสายตาก็เป็นอีกสื่อที่ผู้ฝึกสามารถนำมาใช้กับสุนัขของตนได้ การฝึกสุนัขด้วยวิธีนี้ผู้ฝึกต้องเข้าใจเสียก่อนว่า “สายตาเป็นสื่อของหัวใจ” ก่อนการฝึกสุนัขคู่ใจของท่านด้วยวิธีดังกล่าวท่านต้องฝึกการเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับสุนัขของท่านเสียก่อน ท่านต้องทำให้สุนัขของท่านเข้าใจท่านทุกอย่างโดยไม่มีเงื่อนไข เป็นการฝึกที่อาจเรียกว่าเป็นอีกขั้นหนึ่งของการฝึกสุนัข เนื่องจากสุนัขที่จะสามารถเข้าใจในการฝึกดังกล่าวได้ต้องเป็นสุนัขที่ยอมรับการฝึกระบบอื่นมาแล้วเป็นอย่างดี นั่นหมายความว่าไม่ใช่สุนัขทุกตัวจะสามารถใช้การฝึกวิธีนี้ได้ทั้งหมด การฝึกวิธีนี้อาจเหมาะกับสุนัขบางตัวหรือบางสายพันธุ์เท่านั้น บางท่านเรียกว่าการฝึกสุนัขโดยการใช้กระแสจิต หรือการสะกดจิตสุนัขนั่นเอง แต่สำหรับผมแล้วถือว่าไม่ใช่ทั้งสองประการ แต่เป็นการฝึกสุนัขด้วยสายตา ก่อนอื่นท่านจะต้องฝึกใช้สายตาให้คล่องเสียก่อน เช่น การกรอกตาไปทางซ้าย ไปทางขวา การเหลือกตาไปด้านบน หรือลงมาด้านล่าง ขณะที่สุนัขกำลังสนใจในตัวท่านสิ่งสำคัญมันจะมองหน้าท่าน การมองที่หน้าไม่ทำให้สุนัขสามารถปฏิบัติงานได้ ดังนั้นให้ท่านสังเกตขณะที่สุนัขรอเพื่อปฏิบัติตามคำสั่งสิ่งหนึ่งที่มันทำและจดจ่อได้แก่การมองเข้าไปในดวงตาของท่าน นั่นเองจุดนี้นั่นเองที่ท่านจะต้องนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ ท่านจะต้องจ้องหน้ามันและมองเข้าไปในดวงตาของสุนัขนั้นด้วย และพยายามสื่อให้มันรับรู้ว่าท่านต้องการอะไร เช่น การออกคำสั่งให้ไปทางซ้าย ท่านจะต้องสั่งด้วยดวงตาให้สุนัขปฏิบัติตามให้ได้ เช่นกันถ้าท่านต้องการให้สุนัขทำอะไร ท่านก็ต้องเริ่มต้นทำนองเดียวกัน และไปจบที่จุดที่ท่านต้องการ แรก ๆ ท่านอาจใช้ใบหน้าของท่านสะบัดไปในทิศทางที่ท่านส่งสายตาไปด้วยก็ได้ เช่นท่านต้องการให้สุนัขไปทางซ้าย ท่านก็ใช้สายตาบังคับให้สุนัขไปทางซ้าย พร้อมกับสะบัดหน้าของท่านไปทางซ้ายด้วย สุนัขที่ได้รับการฝึกขั้นต้นมาแล้วจะเข้าใจได้เป็นอย่างดี ว่าท่านต้องการให้มันไปทางซ้ายมือ และจะทำตามคำสั่งโดยไม่ลังเล ประโยชน์ของการฝึกสุนัขดังกล่าวคงไม่ต้องพูด แต่อาจบอกให้ทราบสักหน่อยว่า การฝึกดังกล่าวสามารถใช้ประโยชน์ได้เมื่อท่านอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นรอง ไม่สามารถที่จะใช้ส่วนอื่นของร่างกายได้ชั่วคราว แต่ท่านยังไม่หมดพิษสงท่านยังมีอาวุธลับที่ยังเป็นอิสระอยู่ทั้งตัวได้แก่สุนัขอารักขาที่ท่านได้ฝึกสอนไว้เป็นอย่างดี มันกำลังหมอบรอคำสั่งด้วยสายตาของท่านเปรียบเสมือนลูกธนูที่ประทับคันศรเตรียมพุ่งออกเสียบอกศัตรูก็ไม่ปาน เมื่อท่านออกคำสั่งด้วยสายตาไม่ว่าให้มันปะทะหรือหมอบรอมันจะเข้าใจได้ไม่ยาก เพียงเท่านี้ท่านก็อาจพริกสถานการณ์ให้กลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบอีกครั้ง

สุนัขอารักขาที่ดี ที่มีคุณภาพจะสามารถตัดสินใจเข้าปะทะหรือรอการออกคำสั่งจากผู้เป็นเจ้าของได้ด้วยการใช้ดุลพินิจของตนเอง มันรู้ว่าตอนไหนควรทำอย่างไร นี่ไม่ใช่คำกล่าวที่เกินจริงหรือเป็นเรื่องสมมุติในภาพยนตร์เท่านั้น แต่ในชีวิตจริงก็เคยปรากฏให้เห็นมาแล้ว เนื่องจากมีสุนัขสายพันธุ์อารักขาที่ดีเยี่ยมสายพันธุ์หนึ่งของโลก (อย่าให้ผมบอกเลยว่าเป็นพันธุ์อะไร เดี๋ยวจะมีลูกไม่พอขาย) มันแสดงออกถึงความฉลาดดังกล่าวและได้ช่วยเจ้านายของมันให้รอดพ้นจากพวกวายร้ายได้อย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งภายหลังจากภารกิจทั้งหมดได้เสร็จสิ้นแล้ว คนร้ายคนหนึ่งที่รอดชีวิตมาได้กล่าวกับเจ้าหน้าที่ที่ไปจับกุมว่า เห็นหมาตัวนี้นอนหมอบอยู่ก็ไม่นึกว่าจะเป็นหมาที่ได้รับการฝึกไว้แล้วอย่างดี ไม่นึกว่าพอเผลอหน่อยเดียวมันก็พุ่งตัวเข้าขย่ำคอเพื่อนเสียแล้ว ซึ่งนั่นเองทำให้วงแตกอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ก็เชื่อเถอะครับสำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยกับหมาตัวโต ๆ โดยเฉพาะถ้ามันกระโดดกัด หรือกระโจนเข้าใส่ละก็ร้อยทั้งร้อยแตกกระเจิง ใจไม่รู้หล่นไปอยู่ที่ไหน ไอ้ที่เคยสู้เคยเก่งมาแล้วสิบทิศก็ให้มีอันหดอันห้อยไปเลย มันเป็นอย่างงั้นจริง ๆ เสียด้วยไม่เชื่อลองดูก็ได้ เก่งกับใครไม่เก่งมาเก่งกับหมานี่ต้องคิดให้หนัก โดยเฉพาะหมาที่ได้รับการฝึกมาแล้วอย่างดี

เห็นไหมการเลี้ยงหมาแล้วทำการฝึกหมาให้ได้ มันได้ประโยชน์จริง อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นการออกกำลังร่วมกัน ทำให้ทั้งหมาทั้งคนมีสุขภาพที่ดี และยังทำให้ทั้งคนทั้งหมามีความใกล้ชิดเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอีกต่างหาก สรุปแล้วสมัยนี้การเลี้ยงหมาไม่เฉพาะให้อาหารเท่านั้น เราต้องให้อย่างอื่นด้วย ได้แก่ ความรู้แก่มันเพื่อให้เรานำมาใช้ประโยชน์ได้นั่นเอง สวัสดีครับ...           




Tags: